วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เอื้องเขาแกะ (Rhynchostylis coelestis)

เอื้องเขาแกะ (Rhynchostylis coelestis)




 ลักษณะทั่วไป

 ลำต้น มีรูปทรงใบเป็นรูปทรงกระบอก ค่อนข้างเตี้ย ตั้งตรง เจริญเติบโตทางยอด
ใบ ออกเรียงสลับซ้ายขวา โคนใบเป็นแผงชิดกันแน่น ปลายใบโค้งลงเล็กน้อย มองดูคล้าย เขาแกะ หรือเขาควาย แผ่นใบบางและเหนียวห่อเข้าหากัน ยาว 10-15 เซนติเมตรดอก เป็นช่อตั้งตรง ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก มีดอกเบียดกันแน่น ขนาดดอกราว 1.5-2.0 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงบนรูปรีแกมรูปไข่กลับ กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปไข่กลับ กลีบดอกรูปขนานแกมรูปไข่ กลีบทั้ง 5 กลีบมีสีขาว ขอบกลีบมีขลิบเป็นสีม่วงคราม บางต้นอาจมีสีออกไปทางแดง หรือไปทางสีน้ำเงินก็มี ปลายกลีบมน กลีบปากรูปลิ่ม มีเดือย ดอกแบนและปลายโค้งลง ดอกบานทนนาน ประมาณ 2 สัปดาห์ และมีกลิ่นหอม ช่วงเวลาที่ออกดอก คือฤดูร้อน ระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม
เครื่องปลูกที่นิยม ได้แก่ ถ่านผสมอิฐหรือกระถางแตก ตอนบนคลุมด้วยออสมันด้า หรือกระเข้าสีดา เพื่อช่วยเก็บความชื้น หรือจะปลูกด้วยถ่านหรือเศษไม้สักตัดเป็นท่อน ๆ อย่างเดียวก็ได้  ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 60-80 เปอร์เซ็นต์ การระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศที่ดี ในวัสดุปลูก หรือลมที่พัดผ่านอ่อน ๆ รอบต้นและรากกล้วยไม้ แสงแดด 50-60 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิ 25-35 องศาเซลเซียส  ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เมื่อเจริญเป็นลำต้นแล้ว ก็นำไป ปลูกในกระถางเดี่ยวหรือกระถางหมู่ จนกระทั่งโตเต็มที่แล้วก็แยกไปปลูกในกระถาง หรือกระเช้าไม้สัก ต่อไป ขยายพันธุ์โดยการตัดแยกหน่อ คือให้มีรากที่เจริญแข็งแรงและยาวพอสมควรติดอยู่อย่างน้อย 2-3 รากขึ้นไป มีใบ 2-3 ึคู่ มีรากยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร จากนั้นใช้มีดหรือกรรไกรคม ๆ ตัดยอด กล้วยไม้ที่มีหน่อที่เกิดขึ้นใหม่ติดอยู่ ระยะประมาณ 1-1 1/2 นิ้ว เพื่อประโยชน์ในการเสียบลงเครื่อง ปลูกจะได้ติดแน่น จากนั้นใช้ปูนแดงทาที่บาดแผลเพื่อป้องกันโรคเข้าทางแผล





การปลูกและขยายพันธุ์  

เครื่องปลูกที่นิยม ได้แก่ ถ่านผสมอิฐหรือกระถางแตก ตอนบนคลุมด้วยออสมันด้า หรือกระเข้าสีดา เพื่อช่วยเก็บความชื้น หรือจะปลูกด้วยถ่านหรือเศษไม้สักตัดเป็นท่อน ๆ อย่างเดียวก็ได้  ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 60-80 เปอร์เซ็นต์ การระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศที่ดี ในวัสดุปลูก หรือลมที่พัดผ่านอ่อน ๆ รอบต้นและรากกล้วยไม้ แสงแดด 50-60 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิ 25-35 องศาเซลเซียส  ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เมื่อเจริญเป็นลำต้นแล้ว ก็นำไป ปลูกในกระถางเดี่ยวหรือกระถางหมู่ จนกระทั่งโตเต็มที่แล้วก็แยกไปปลูกในกระถาง หรือกระเช้าไม้สัก ต่อไป ขยายพันธุ์โดยการตัดแยกหน่อ คือให้มีรากที่เจริญแข็งแรงและยาวพอสมควรติดอยู่อย่างน้อย 2-3 รากขึ้นไป มีใบ 2-3 ึคู่ มีรากยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร จากนั้นใช้มีดหรือกรรไกรคม ๆ ตัดยอด กล้วยไม้ที่มีหน่อที่เกิดขึ้นใหม่ติดอยู่ ระยะประมาณ 1-1 1/2 นิ้ว เพื่อประโยชน์ในการเสียบลงเครื่อง ปลูกจะได้ติดแน่น จากนั้นใช้ปูนแดงทาที่บาดแผลเพื่อป้องกันโรคเข้าทางแผล






❤`•.¸¸.•´´¯`••.¸¸.•´´¯``•.¸¸.•´´❤



วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ดอกผกาแก้ว (Wax Plant)

ดอกผกาแก้ว (Wax Plant)



ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้เลื้อยอิงอาศัยขนาดเล็ก เถายาว 1-2 เมตร มีอายุหลายปี ทุกส่วนมียางสีขาว รากแตกตามข้อ ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรียาว 6-9 เซนติเมตร ใบหนาอวบฉ่ำน้ำ ผิวใบสีเขียวเข้ม เรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ช่อดอกกลม ออกที่ซอกใบ ห้อยลง สีขาว มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 เซนติเมตร มีดอกย่อย 20-30 ดอก เป็นรูปดาว สีขาวใส ขนาด 1-1.5 เซนติเมตร มีมงกุฎอยู่ตรงกลางดอก ผลเป็นฝักคู่ ออกดอกตลอกปี ดอกทยอยบานพร้อมกัน บานอยู่ได้นาน 1 สัปดาห์ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ตลอดวัน 


การปลูกและการขยายพันธุ์

สามารถปลูกลงคาคบต้นไม้ในบ้าน หรือปลูกลงกระถาง กระเช้าไม้โดยใช้รากเฟินชายผ้าสีดา ท่อนไม้ ชิ้นไม้ หรือกาบมะพร้าวสับเป็นเครื่องปลูก แล้วแขวนในที่ร่มรำไร หมั่นใส่ปุ๋ยเป็นช่วงๆ จะใช้วัสดุปลูกที่เหมาะสมควรระบายน้ำและอากาศได้ดี มีธาตุอาหารเพียงพอ เก็บความชื้นและไม่ผุพังหรือยุบตัวเร็วเกินไป วัสดุที่ใช้ได้ผลดีคือกาบมะพร้าวสับ หรือใช้ดินผสมที่มีจำหน่ายทั่วไปผสมกับวัสดุอื่น ๆ ที่ช่วยถ่ายเทอากาศและน้ำ เช่น ถ่านทุบ แกลบสด เปลือกถั่ว ข้อเสียของดินผสมคือยุบตัวเร็วและอุ้มน้ำมากเกินไป ทำให้รากเน่าได้ง่าย ภาชนะปลูกควรเลือกภาชนะก้นตื้นเพราะรากจะเกาะและกินอาหารตามผิว มักจะปลูกแบบไม้แขวนและไม้เลื้อยขึ้น  แล้วดัดพันให้เป็นพุ่มเมื่อโฮย่าแตกกิ่งมากขึ้น หรือปลูกเป็นไม้เถาเลื้อยตามซุ้ม หรือไต่กำแพงรั้วบ้านก็ได้  แต่ควรให้ได้รับแสงแดดอย่างน้อยในครึ่งวันเช้า ต้องการน้ำปานกลางการให้น้ำจึงควรให้เมื่อวัสดุปลูกเกือบแห้ง และให้เพียงวันละครั้ง ไม่ควรให้เครื่องปลูกแฉะเกินไป เพราะจะทำให้โคนเน่าได้ ปุ๋ยที่ให้ควรเป็นปุ๋ยกล้วยไม้ อาจเป็นชนิดละลายน้ำหรือชนิดเม็ดที่ปลดปล่อยอาหารทีละน้อย  เมื่อต้นสมบูรณ์ดีแล้วเลือกให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจน(N) น้อยกว่าธาตุฟอสฟอรัส(P) เพื่อเร่งการออกดอก สำหรับการให้ปุ๋ยละลายน้ำ ควรใช้ในอัตราความเข้มข้นต่ำๆ จึงจะได้ผลดี ควรปลูกในที่มีแสงร่มรำไร ขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่ง  


การบำรุง

ปุ๋ยเคมีธรรมดา ปุ๋ยเม็ดสำหรับบำรุงไม้ดอก ใช้สูตรตัวกลางสูง (ฟอสฟอรัสสูง) เช่น สูตร 8-24-24, สูตร 18-46-0 เป็นต้น ให้ใส่ทีละน้อย(5-10 เม็ด) และอย่าให้สัมผัสรากและโคนต้นโดยตรง  มิฉะนั้นปุ๋ยจะกัดเนื้อเยื่อรากและโคนต้นอาจถึงตายได้ ความถี่ในการใส่ประมาณ 10-15 วันครั้ง เมื่อออกดอกแล้วก็ปล่อยให้พักตัวบ้าง 
ปุ๋ยสำหรับฉีดพ่นทางใบ (ปุ๋ยกล้วยไม้)  มีให้เลือกหลายสูตร ทั้งสูตรเสมอและสูตรตัวกลางสูง เลือกใช้ตามความเหมาะสมของอายุโฮย่า อย่าฉีดพ่นเวลามีแดดจัด เลือกฉีดพ่นเวลาเช้า (ก่อน 10 โมง) หรือเย็น (หลังบ่าย 3)  ควรผสมสารจับใบลงไปด้วย (1-2 หยดต่อลิตร) เพื่อเพิ่มความสามารถในการเคลือบผิวใบให้ปุ๋ยอยู่บนใบได้นานขึ้น







❤`•.¸¸.•´´¯`••.¸¸.•´´¯``•.¸¸.•´´❤



Cr. เทียนส่องแสง



ดอกราชาวดีม่วง (Butterfly Bush)



ดอกราชาวดีม่วง (Butterfly Bush)




ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-3 เมตร แตกกิ่งน้อย ทรงพุ่มกลมโปร่ง ใบเดี่ยว ยาว 6-10 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบใบจัก ผิวใบด้านบนเห็นเส้นกลางใบและเส้นใบย่อยชัดเจน ช่อดอกสีแดงเข้มหรือแดงอมม่วง ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อยาว 15-20 เซนติเมตร มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมี 4 กลีบ ขอบกลีบเป็นจักละเอียดและเป็นคลื่น เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 เซนติเมตร ผลเมื่อแก่ แตกดอกออกตลอดปี แต่ละช่อทยอยบาน ดอกบานวันเดียวโรย ส่งกลิ่นหอมแรงตลอดวัน



การปลูกและขยายพันธุ์

การปลูก หากปลูกลงกระถางควรใช้กระถางขนาดใหญ่แล้วตั้งไว้กลางแจ้ง และใช้ดินร่วนที่มีปุ๋ยคอกหรืออินทรียวัตถุเป็นส่วนผสม และระบายน้ำได้ดี ดินที่เหมาะสม ดินร่วน ต้องการน้ำปานกลาง ควรปลูกในที่มีแสงทั้งวัน ราชาวดีเป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงแดดจัด ถ้าปลูกในที่ร่ม และในที่ชื้นแฉะตลอดเวลาอาจทำให้ตายได้ ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนมีความชุ่มชื้นในดินสูง หมั่นตัดแต่งกิ่งเป็นช่วงๆ ขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่งและตอนกิ่ง 





❤`•.¸¸.•´´¯`••.¸¸.•´´¯``•.¸¸.•´´❤


พวงคราม (Purple Wreath)

 พวงคราม (Purple Wreath)





ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่  แข็งแรง เลื้อยแบบพาดพัน  สามารถเลื้อย  ไปได้ไกล  เนื้อไม้แข็ง เถาอ่อนหรือยอดอ่อนมีขนปกคลุม  ขึ้นได้ดีในทุกสภาพพื้นที่  ทนต่อความแห้งแล้ง เป็นไม้เถาที่มีอายุยืนนาน ดอกมีสีม่วงครามหรือม่วงเข้ม  ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามซอกใบใกล้ปลายเถา  ช่อดอกยาว 15-25 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงหรือใบประดับสีม่วงอ่อน  โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดตื้น ๆ ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก  รูปขอบขนาน ปลายมน กว้าง 0.3-0.4 เซนติเมตร ยาว 1.3-1.8 เซนติเมตร ด้านบนของกลีบมีขนอ่อน ๆ กลีบดอกสีม่วงเข้มหรือสีคราม  โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ รูปขอบขนาน ปลายมน กว้าง 0.4-0.5 เซนติเมตร ยาว 1.0-1.5 เซนติเมตร กลีบดอกกลีบหนึ่งมีสีขาวแต้มที่โคนกลีบ เกสรเพศผู้ 4 อัน  ดอกบานเต็มที่กว้าง 3.0-3.5 เซนติเมตร มักจะออกดอกและบานพร้อมกันเต็มช่อ  บานทนได้หลายวัน ออกดอกเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์


การปลูกและการขยายพันธุ์

มักจะนำกิ่งที่ได้จากการปักชำมาปลูกลงดิน ไม่นิยมปลูกลงกระถาง เนื่องจากพวงครามเป็นไม้ที่มีลำต้นค่อนข้างใหญ่ หรือมีเถาที่ค่อนข้างจะเลื้อยไปไดไกล และจะนิยมใช้กิ่งจากการปักชำมากกว่าการเพาะเมล็ด การตอน เพราะกิ่งที่ได้จากการปักชำจะได้ต้นเร็วกว่า และไม่ทำให้เสียเวลาด้วย 
ขยายพันธุ์โดยการ เพาะเมล็ด , การตอนกิ่ง และการปักชำกิ่ง โดยปักชำกิ่งในขี้เถ้าแกลบจะได้ผลดีกว่าการปักชำกิ่งในกระบะทราย หรือการปักชำกิ่งในดิน





❤`•.¸¸.•´´¯`••.¸¸.•´´¯``•.¸¸.•´´❤






วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ไฮเดรนเยีย (Hydenyia)

ไฮเดรนเยีย (Hydenyia)


การเพาะปลูกไฮเดรนเยีย

การขยายพันธุ์โดยวิธีการปักชำกิ่งช่วงที่เหมาะสมสำหรับการ ขยายพันธุ์คือช่วงฤดูฝนเพราะสภาพอากาศชื้น
ไฮเดรนเยีย เป็นพืชเมืองหนาว การออกดอกเนี่ยขึ้นอยู่กับ สภาพอากาศ ที่อยู่ การรดน้ำ และดิน 
- ไฮเดรนเยีย ชอบที่ร่ม ชอบความชื่น แต่ไม่ชอบความแฉะ ชอบแดดอ่อนๆ
ถ้าซื้อมาใหม่จะถือถุงดำใส่กระถางดินที่ใช้ควรเป็นดินร่วน
-  ในกรณีที่แดดแรงๆอาจทำให้ดอกไฮเดรนเยียเหี่ยวเฉาได้ ให้รดน้ำเดี๋ยวต้นไฮเดรนเยียก็จะฟื้น
-  ถ้าไฮเดรนเยียอยู่อากาศค่อนข้างเย็นแล้วควรปลูกลงดินต้นไฮเดรนเยียจะกลายเป็นพุ่มสวยงาม
-  ถ้าอยากได้สีฟ้าให้เอาตะปูที่ขึ้นสนิมฝังลงไปด้วย แต่ถ้าชอบสีชมพูก็ขุดตะปูออก หรือไม่ก็โรยเกลือลงไปเลย
-  ใส่ปุ๋ย 16-16-16 ทุกๆ 15 วัน ทำให้ดอกออกได้ออกดี อย่าลืมรดน้ำด้วย เอาฟางใสกระถางไปจะช่วยกักเก็บความชื่นค่ะ

การดูแลรักษา

ช่วงฤดูร้อนควรมีการพรางแสงด้วยตาข่ายพลาสติกดำหรือซาแลนโดยพรางแสง 50% เพื่อลดอาการไหม้ที่ใบและดอก


ความหมายของดอกไฮเดรนเยีย

ในความหมายของดอกไม้ ดอกไฮเดรนเยียทุกสี เป็น “ดอกไม้แห่งหัวใจด้านชา”
ว่ากันว่าไม่ควรมอบดอกไม้นี้ให้แก่ผู้ใด นอกจากอยากจะตัดพ้อผู้รับว่า เขาหรือเธอ ช่างเป็นคนใจด้านชาเสียเหลือเกิน
แต่ในอีกความหมายหนึ่ง ก็ว่า ดอกไฮเดรนเยีย หมายถึง “คำขอบคุณ”  ...Thank you for understanding... ขอบคุณที่เข้าใจกัน
ถ้าลองเอาความหมายมารวมกันอาจจะเป็น ขอบคุณสำหรับหัวใจที่ด้านชา หรือไม่ก็ ขอบคุณที่เข้าใจหัวใจอันด้านชาของฉัน







❤`•.¸¸.•´´¯`••.¸¸.•´´¯``•.¸¸.•´´❤
                           

Cr. hydrangeaveryveryvery

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กุหลาบนางฟ้า (Gloxinia)

 กุหลาบนางฟ้า (Gloxinia) 







กล็อกซิเนียอยู่ในกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับ เป็นดอกไม้ที่มีหัวไว้สำหรับเพาะ มีความพิเศษตรงที่ส่วนดอกมีลักษณ์เหมือนดอกกุหลาบ กลีบดอกเหมือนกำมะหยี่ มีหลากหลายสี เหมาะสำหรับคนที่ชอบปลูกต้นไม้แต่มีพื้นที่น้อย สามารถปลูกในกระถางได้


ลักษณะทั่วไป

กล็อกซิเนียเป็นไม้เนื้ออ่อน พุ่มต้นสูงประมาณ 15-30 ซม. มีหัวใต้ดิน ใบสีเขียวสด รูปไข่ อวบน้ำ ขอบหยักมน มีขนทั่วใบ ใบผึ่งกางปรกกระถาง ดอกออกเป็นกลุ่มชูตั้งขึ้นเหนือกลุ่มใบ ดอกมีสีสด กลีบดอกเหมือนกำมะหยี่มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกช้อน ขนาด 5-7 ซม. ดอกรูประฆัง ปลายแยก 5-12 กลีบ มีขนปกคลุม ดอกมีสีขาว ชมพูอ่อน-เข้ม แดง ม่วง และสองสีในดอกเดียวกัน ทำให้ดอกสวยเด่น จำนวนดอกที่บานคราวหนึ่งๆ อาจมีตั้งแต่ 1 ดอก ไปจนถึง 12ดอก หรือมากกว่า แล้วแต่พันธุ์และการดูแลรักษา


การดูแลและขยายพันธุ์

กล็อกซิเนียเดิมเป็นไม้ที่อยู่ในที่อากาศเย็นจึงไม่ควรให้โดดแดดโดยตรง เมื่อรดน้ำควรรดที่ดินตรงกระถางไม่ควรให้โดนส่วนลำต้นเพราะอาจทำให้เกิดโรคได้ ส่วนใบต้องแข็งแรง สะอาด ไม่มีรอยถูกจากแมลง หรือแสงแดด ดอกต้องมีก้านยาว ตรง แข็งแรง ชูขึ้นเหนือกลุ่มใบ การจัดเรียงของดอกต้องเป็นกลุ่มสวยงาม สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีทั้งการปักชำ เพาะโดยใช้เมล็ด ปลูกจากหัวพันธุ์





❤`•.¸¸.•´´¯`••.¸¸.•´´¯``•.¸¸.•´´❤